บุรีรัมย์มาราธอน 2018 กับมาราธอนที่ 3 ของผม

Buriram Marathon 2018  / บุรีรัมย์มาราธอน 2018 ที่สุดของงานวิ่งในเมืองไทย ณ เวลานี้




สวัสดีครับเป็นตามธรรมเนียมที่หลังจากจบงานวิ่งก็จะมาเขียนรีวิวต่อก็จะมีทั้งตั้งแต่ก่อนวิ่ง ระหว่างวิ่ง หลังวิ่ง และสรุปบทเรียนมาให้อ่านกัน

1. #บุรีรัมย์มาราธอน2018 ที่สุดของงานวิ่งในเมืองไทย งานที่มีความตั้งใจมากหลังจากปีที่แล้วมาวิ่งมาราธอนครั้งแรกที่นี่ แต่ก็เป็นการจบแบบค่อนข้างสะบักสะบอมช่วง 10 ก.ม.สุดท้ายเดินกับวิ่งพอๆกัน ปีนี้เลยหมายมั่นตั้งใจมากว่าจะต้องจบแบบสวยงามเดินแบบน้อยที่สุดหรือไม่เดินเลย

 2. เริ่มซ้อม... บอกข้อมูลเบื้องต้นก่อนนะครับ นับตั้งแต่เริ่มวิ่งออกกำลังถึงวันสมัครผมวิ่งมาแล้ว 2 ปี 2 เดือน พื้นฐานการวิ่งงาน วิ่งมินิมาแล้ว 3 สนาม ฮาล์ฟ 1 สนาม ฟูล 2 สนาม เวลาดีที่สุด ณ ตอนนั้นมินิ 55 นาที ฮาล์ฟ 2.04 ชม. ฟูล 4.58 ชม. แต่ฟูล 2 สนามที่ผ่านมาก็เป็นวิ่งแบบซ้อมไม่ถึง ตอนเข้าสิบกิโลสุดท้ายวิ่งสลับเดินตลอดเส้นทาง มันก็เกิดข้อสงสัยว่าซ้อมเท่าไหร่มันถึงจะวิ่งได้ตลอด 42.195 กิโลเมตร ด้วยหน้าที่การงานและภาระครอบครัวทำให้ผมมีเวลาซ้อมไม่ค่อยเยอะหลังเลิกงานมีเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง ก็จะได้ระยะทางประมาณ 10 ก.ม. เดือนหนึ่งๆก็จะวิ่งได้ประมาณ 140-160 ก.ม. ก็ซ้อมมาเรื่อยๆซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านๆมา รู้เลยว่าซ้อมแค่นี้ฟูลมาราธอนไปไม่รอดแน่ เหลือเดือนสุดท้ายจะถึงวันวิ่งเริ่มตระหนักถึงปิศาจ ก.ม.30 ที่เคยเจอ ก็เลยเพิ่มเวลาซ้อมด้วยการวิ่งตอนเช้าด้วย จะเป็นวิ่งช้าโซน 2 ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ก็จะได้ระยะทางประมาณ 5 ก.ม. ส่วนตอนเย็นก็จะวิ่งที่สนามกีฬาวันละประมาณ 1 ชั่วโมงหน่อยๆ ก็จะได้ระยะทางประมาณ 8 -15 ก.ม. เฉลี่ยวันหนึ่งจะได้ประมาณ 15 ก.ม. ก็จะมีทั้งวิ่งธรรมดา , Interval และ Tempo มีความพยายามที่จะวิ่งยาวอยู่ครั้งหนึ่งแต่ก็วิ่งได้แค่ 22 ก.ม. (ออกบ้านสาย แดดร้อนเลยต้องวิ่งกลับ 555) ไกลสุดวิ่งได้แค่นี้ แผนที่จะวิ่งยาวๆ (LSD) 30 , 35 ก.ม.ก็ล้มพับไป เพราะเริ่มใกล้วันวิ่งจริง ต้องลดความเสี่ยงเรื่องการบาดเจ็บ นอกจากวิ่งแล้วก็จะเพิ่มการปั่นจักรยานเข้าไปด้วยระยะทางก็ตั้งแต่ 15 -35 ก.ม. ตามวันที่สะดวก ทำแบบนี้ทั้งเดือน เดือนสุดท้ายก่อนวิ่ง (มกราคม) ก็สะสมระยะทางเฉพาะวิ่งได้ 260+ ก.ม. ถ้ารวมจักรยานด้วยก็รวมๆ 330+ ก.ม. (จากปกติวิ่งเดือนละ 140-160 ก.ม.) ในวันวิ่ง 22 ก.ม. ได้ทดสอบความเร็วที่จะใช้ในวันจริงด้วย ทดลองวิ่งที่เพซ 6 ก็ถือว่าใช้ได้ ร่างกายตอบสนองได้ดีไม่บาดเจ็บ แรงไม่หมด แต่อย่างว่าครับฟูลมาราธอนไม่ใช่การวิ่งฮาล์ฟต่อกัน ก็ตระหนักได้ถึงข้อนี้อยู่เหมือนกัน ถึงเวลานี้ก็มีความพร้อม มั่นใจระดับหนึ่ง แต่ก็ยังหวั่นใจที่ไม่ได้ซ้อมวิ่งยาว มาราธอนงานนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 4.30 ชม. มาดูกันว่าซ้อมแค่นี้จะไปถึงมั้ย ช่วงตั้งแต่จากวันสมัครจนถึงวันวิ่ง ผมลงวิ่งอีก 3 งาน เป็นงานมินิทั้ง 3 งาน เวลาดีขึ้นอีกหน่อยนึงเป็น 52 นาที มีงานโหดวิ่งขึ้นเขาที่มอหินขาวด้วย งานนี้ทำเอาปวดขาไปหลายวัน ><

งานมอหินขาวมินิฮาล์ฟมาราธอน ธ.ค. 2560 
งานวิ่งปวดขาที่สุด ><
วิ่งชิงอันดับ 10 กัน ^^ ใบแจ้งผลได้อันดับ 10 แต่พอประกาศชื่อเป็นอันดับ 11 ซะงั้น 
แต่ก็ช่างเหอะ ได้ถ้วยมาก็พอครับ ^^

นอกจากวิ่งแล้วก็จะมี Cross Exercise ด้วยการปั่นจักรายานเพื่อพักขาด้วยครับ


สวนน้ำบุ่งตาหลัว ถ้ามาโคราชไม่พลาดที่จะมาวิ่งที่นี่ 

ช่วงเช้าก็จะวิ่งโซน 2 "สเตปอาม่า" 
โซน 2 ความเร็วไม่สำคัญเท่ากับคุมหัวใจให้อยู่ในโซน 

ซ้อมตอนเย็น ระยะก็จะอยู่แค่นี้ครับ ประมาณ 10 ก.ม. 
อาจจะมีบางวันที่ขึ้นไปถึง 15 ก.ม. แต่ก็น้อยมาก


วันซ้อมใหญ่ว่าจะเอาซัก 30 ก.ม. แต่ตอนสายแดดแรงมากเลยจบที่ 22 ก.ม. 
ซ้อมไกลสุดได้แค่นี้จริงๆครับ



3. หลังจากซ้อมมาหลายเดือน ก็ถึงเวลาลุยกันแล้ว....เริ่มเดินทางบ่ายวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 เนื่องจากมีธุระที่ต้องเข้าไปทำในเมืองบุรีรัมย์เลยต้องเดินทางล่วงหน้าไปก่อนเพื่อนๆ 1 วัน หลังจากทำธุระเสร็จ พอดีพี่ที่รู้จักมีบัตรเข้าชมฟุตบอลนัดเปิดฤดูกาลระหว่าง บุรีรัมย์ยูไนเต็ดกับราชบุรีมิตรผล มีเหรอที่เราจะพลาด 555 ใครที่มีบิบงานงานวิ่งก็สามารถซื้อตั๋วชมเกมนัดนี้โดยได้รับส่วนลด 50% จาก 120 บาทเหลือ 60 บาท เป็นที่นั่งฝั่งหลังประตูทั้ง 2 ข้าง (ปีที่แล้วแจกฟรีนะครับ)



3. เข้างานรับบิบ..... ปีนี้บุรีรัมย์มาราธอนย้ายสถานที่รับบิบจากสนามช้างมาเป็นบรีรัมย์คาสเซิลติดกับสนามฟุตบอลช้างอารีน่า ก็สะดวกรวดเร็วดีครับ ผมไปถึงตอน 10 โมง คนยังไม่เยอะใช้เวลารับบิบไม่ถึงนาที ตรงที่รับบิบเขามีอาหารว่างบริการฟรีด้วยครับคือดีงามมาก หลังจากนั้นก็เข้าไปเล่นเกมรับของรางวัลตามซุ้มสปอร์นเซอร์ต่างได้ของมาเยอะเลย 555 แล้วก็เข้าไปดูงาน Expo ขายอุปกรณ์การวิ่ง เนื่องจากเจ้าของงานใจปั้มไม่เก็บค่าเช่าสถานที่ทำให้ร้านค้ามาขายของเยอะมากกกก คือเยอะที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลย ก็สนุกขาชอปสิครับ บางคนหิ้วถุงพะรุงพะรังยังกะเขาแจกฟรี ^^ เสร็จแล้วก็เข้าไปดูในเมืองเห็นเขาเตรียมสแตนด์เชียร์ ป้ายเชียร์ ฯลฯ แค่เห็นใจมันก็คึกแล้ว แหม่ๆๆ พรุ่งจะใส่ให้เต็มที่เลย ^^ ตอนเย็นก็ไปนั่งกินข้าวชิลๆที่ตลาดเซาะกราวเหมือนเช่นเคย ปีนี้คนเยอะกว่าปีที่แล้วมาก คึกคักดี เสร็จแล้วก็เข้าที่พัก กะว่าจะรีบเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำจะได้มีเวลานอนเยอะๆ แต่....ก็ไม่ตื่นเต้นนะ แต่ทำไมนอนไม่หลับบบบ 555 กว่าจะข่มตาให้หลับได้ สรุปได้นอนแค่ 3 ชั่วโมง ...นี่ไม่ค่อยจะตื่นเต้นเล้ย 555

ส่วนของที่รับบิบ 

มีแซนวิช ขนมบังไส้กรอก น้ำผลไม้บริการฟรีด้วย

Ice Bath อ่างแช่น้ำแข็งขนาดใหญ่มากกก 
เล็งไว้วิ่งเสร็จจะมาแช่ให้หายปวดเลย 555

งาน Expo คนเยอะมากกกกก

   
ชอปเสร็จก็เดินเที่ยวอีกนิดหน่อย 
ไม่ต้องไปไกลอยู่แถวๆในงานก็หมดวันแล้ว




4. เข้าสนาม......จากประสบการณที่ผ่านมาบุรีรัมย์มาราธอนมีการปิดถนน 100% ฉะนั้นต้องวางแผนการเดินทางให้ดีหน่อย ผมเลือกที่จะเข้าสนามก่อนตี 3 ซึ่งเวลานี้สามารถเข้าได้ทุกทาง ตอนเข้าสนามทางโล่งสะดวกสบายมาก จอดรถเสร็จก็เดินเข้าสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต เตรียมตัวลงไปวอร์มนิดๆหน่อย ตอนสมัครผมลงเวลาไว้ที่ 4.45 ชม. ตอนปล่อยตัวจะอยู่ Block C แต่จะ Block ไหนๆก็ไม่ต่างกันมากเนื่องจากถนนของสนามช้างกว้างมาก ทำให้ตอนปล่อยตัวแค่ไม่กี่นาทีก็ข้ามเส้นเช็คอินแล้ว ระหว่างที่รอปล่อยตัว ยอมรับว่าตื่นเต้นเหมือนกัน ทั้งที่สนามนี้เคยวิ่งมาแล้ว และก็ผ่านงานวิ่งมาหลายงานแล้ว บรรยากาศของงานมันทำให้จิตใจฮึกเหิมมาก และแล้วก็ถึงเวลา 04.00 น. เสียงแตรส่งสัญญาณปล่อยตัวก็ดังขึ้น นักวิ่งต่างก็วิ่งออกไปกับระยะทาง 42.195 ก.ม. เส้นชัยรออยู่ข้างหน้า สู้ๆๆ

รอเวลาเข้าบล็อกสตาร์ท
 นักวิ่งเริ่มเข้าบล็อกสตาร์ท
  นักวิ่งเฉพาะฟูลมาราธอนปีนี้ประมาณ 3,600 คน มาดูกันว่าจะจบอันดับที่เท่าไหร่
ผมลงเวลาตอนสมัครไว้ที่ 4.45 ชม. อยู่ Block C อยู่แถวกลางๆครับ 
เวลาตั้งแต่ปล่อยตัวถึงจุดเช็คเวลาใช้ไป 23 วินาที ถือว่าเร็วพอสมควร



5. ระหว่างวิ่ง .....แผนการวิ่ง ถ้าจะจบมาราธอนภายในเวลา 4.30 ชม. ต้องวิ่งเพซเฉลี่ย 6.25 นาที/กิโลเมตร ซึ่งถ้าตามที่ซ้อมมามันน่าจะทำได้นะ

5.1) ช่วง 4.5 ก.ม.แรกจะเป็นการวิ่งในสนามแข่งรถซึ่งสนามมันเรียบมาก เรียบจนอยากถอดรองเท้าวิ่งกันเลย ช่วงนี้ไม่มีอะไรครับ วิ่งตามเส้นทางไปเรื่อยๆผมเลือกที่จะคุมความเร็วตัวเองให้อยู่ระหว่าง 6 - 6.30 นาที/กิโลเมตร ขณะเดียวกันก็ดูอัตราการเต้นหัวใจไปด้วยพยายามคุมไว้ไม่ให้เกิน 160 ครั้ง/นาที แต่ส่วนใหญ่จะให้อยู่ระหว่าง 140-150 ครั้ง/นาทีซึ่งเป็นอัตราที่กำลังพอดีสำหรับผม ได้ทั้งความเร็วและความอึด ช่วงนี้ตามเกาะลูกโป่ง pacer 4.30 แบบติดๆไม่ให้ห่างเลย  อ่อ..ปีนี้ไม่ใครฉี่ในสนามช้างเหมือนปีที่แล้วนะครับ ...หรือจะมีหว่าแต่เราไม่เห็น 555

5.2) หลังจากออกสนามช้างจะเข้าสู่ถนนใหญ่ เตรียมพุ่งออกไปต่อ แต่...อาการเก่ากำเริบครับ อยู่ๆปวดท้องขึ้นมา ห้องน้ำอยู่หนายยยย มาถึง ก.ม.ที่ 6 เห็นรถสุขาจอดเรียงราย โอ้ สวรรค์ รีบพุ่งขึ้นไป อ้าว..คนเต็ม รีบเปลี่ยนคันเจอคันว่าง เฮ้อ...ค่อยยังชั่ว...โถ่วววว ..เสียเวลาไปเกือบ 5 นาที ลงจากรถได้ ก็รีบทำเวลาเลย ตอนนี้แม้แต่ลูกโป่ง pacer 5.00 ก็แซงไปแล้ว ช่วงนี้เลยจำเป็นต้องยอมผิดแผนเร่งความเร็วเป็นเพซ 5 กว่าๆชดเชยเวลาที่เสียไปและไล่กวดลูกโป่ง pacer 4.30 ต่อ

5.3) จากถนนใหญ่เข้าอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก มีการเปลี่ยนเส้นทางเล็กน้อย เขาปรับปรุงขึ้นมาใหม่เพื่องานนี้โดยเฉพาะ ถนนลาดยางใหม่เรียบกริ๊บ ยอมรับในความใส่ใจรายละเอียดของงานจริงๆ ไฟส่องสว่างก็สว่างตลอดเส้นทางไม่มีจุดมืดแม้แต่จุดเดียว วิ่งมาเรื่อยๆก็แซงลูกโป่ง 5.00 ได้ วิ่งไปอีกซักพักก็แซงลูกโป่ง 4.45 ได้อีก ตอนนี้ยังเหลือลูกโป่ง 4.30 เท่านั้น

5.4) ผ่านมา 10 กิโลเมตรใช้เวลาไป 1.07 ชม. เพซเฉลี่ย 6.43 นาที/กิโลเมตร อยู่ในอันดับที่ 1,399 (อันดับมาดูทีหลังหลังจากวิ่งจบแล้ว) ผิดแผนไปพอสมควร ตั้งไว้ไม่ควรเกิน 1  ชม. วิ่งอีกซักพักมาถึงอ่างเก็บน้ำห้วยจระเข้มาก วิ่งขึ้นสันเขื่อนเพื่อไปจุดกลับตัว เสียดายปีนี้ยังมืดอยู่ไม่เห็นความงามที่นี่ กำลังวิ่งเพลินเสียงพี่ชายที่กลับตัวมาก่อนร้องทัก โห...พี่วิ่งเร็วมากนำหน้าลูกโป่ง pacer 4.00 เลย ...ในระหว่างที่วิ่งผมจะแวะดื่มน้ำทุกจุด จุดไหนมีเกลือแร่ก็จะดื่มทุกจุดเช่นกัน ส่วนผลไม้ผมจะกินเฉพาะแตงโม กล้วยก็มีนะแต่ตอนวิ่งผมไม่ค่อยชอบกินเท่าไหร่ เจลพลังงานก็จะกินทุก 10 ก.ม. อ่อเรื่องเกลือแร่เนื่องจากงานนี้ได้รับการสนับสนุนจาก 100plus เกลือแร่อัดลมบางคนกินแล้วจุกไม่ชอบ แต่สำหรับผมนี่ซ้อมกินยี่ห้อนี้มาก่อนเลย เพราะปีที่แล้วกินแล้วไม่คุ้น ดื่มแล้วมีแก้สดันเรอกันเอิ้กอ้ากเลย บางจังหวะถึงกับจุกเลย ปีนี้เลยซ้อมกินมาก่อนพอถึงวันวิ่งจริงนี่สบายมาก ดื่มทีละ 2 แก้วเลย 555 จุดให้น้ำแต่ละจุดผมจะใช้เวลาประมาณ 15 -30 วินาที แล้วแต่ว่ามีอะไรให้กินเยอะมั้ย ถ้ามีเยอะก็จะอยู่นานๆหน่อย 555

5.5)  ถึงก.ม.20 ใช้เวลาไป 2.11 ชม. เพซเฉลี่ยช่วงนี้ 6.30 นาที/กิโลเมตร ขึ้นมาอันดับที่ 1,285 (มีแวะห้องน้ำอีกครั้ง เสียเวลาจริงๆ ><' ) เริ่มหวั่นๆว่าจะไม่ทัน 4.30 ชม.แน่ๆ เลยเร่งความเร็วอีกครั้ง คราวนี้มาเจอกับกองทัพนักวิ่งฮาล์ฟ ตอนนี้จากถนนกว้างๆ ถึงกลับแคบไปเลย ประเมินแรงแล้วยังได้อยู่ ตอนนี้ตามลูกโป่ง 4.30 ทันและแซงได้แล้ว ตรงนี้เสียงเพลงเชียร์ก็ม่วนหลายๆใจมันก็คึกประกอบกับเป็นการวิ่งลงเนิน ทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นไม่รู้ตัวไปเป็นเพซ 5.30 - 5.40 นาที/กิโลเมตร วิ่งมา 2 - 3 กฺโลเมตร HR ก็พุ่งชึ้นไปโซน 5 ต้องรีบลดความเร็วลงมาอยู่ในเพซ 6.0 นาที/กิโลเมตร

ช่วงนี้มารวมกับกองทัพนักวิ่งฮาล์ฟ คนก็จะเยอะๆหน่อย

5.6) ก.ม. 30 ใช้เวลาไป 3.12 ชม. ขึ้นมาอันดับที่ 1,024 ช่วงนี้ทำเวลาได้ดีมาก เพซเฉลี่ยอยู่ที่ 6.08 นาที/กิโลเมตร  ในใจคิดถ้ารักษาความเร็วนี้ได้ก็จะจบได้ที่ 4.30 ชม. แต่ความจริงถึงตรงนี้แรงเริ่มตกแล้วล่ะ แต่ก็ประคองความเร็วไว้ที่เพซ 6.20 - 6.40 ซึ่งก็เป็นความเร็วที่อยู่ในแผนอยู่ ถึงตอนนี้ก็เข้าสู่ถนนกลางเมืองบุรีรัมย์ โอ้...สววรค์....(หรืออาจเป็นนรก) ของนักวิ่ง ตรงนี้กองเชียร์ เสียงเชียร์ เสียงเพลงช่างคึกคักเหลือเกิน อยากจะวิ่งให้ไวๆตามเสียงเชียร์แต่แรงมันไปได้แค่นี้ เพราะยังเหลือระยะทางเกือบ 10 ก.ม. ต้องเผื่อเหลือแรงไว้ตอนท้ายๆ ช่วงนี้ลูกโป่ง pacer 4.30 ก็ตามมาทันแล้ว ทีม pacer 4.30 ก็น่ารักมากพยายามกระตุ้นให้วิ่งตลอด "เหลือแค่ฟันรันครับ ระยะแค่นี้ใครๆก็วิ่งได้" แหม่...พูดยังไงก็ถูกครับ ถ้าแรงไม่หมดก็สบายมากล่ะครับ 555  เกาะ pacer 4.30 มาได้ระยะหนึ่งแต่ก็ต้องปล่อยล่ะครับ ตามไม่ไหวจริงๆ กลับมาวิ่งตามจังหวะของตัวเองสบายกว่า

เข้าสู่ถนนกลางเมืองบุรีรัมย์ "สวรรค์ของนักวิ่ง" ตรงนี้สนุกมาก ^^

ลูกโป่ง pacer 4.30 ตามมาทันช่างท้ายๆของถนนกลางเมืองบุรีรัมย์
 หนีสิครับ รออะไรอยู่ แต่หนียังไงก็ก็ไม่พ้นโดนแซงคืนจนได้ 555



5.7) ก.ม. 40 ใช้เวลาไป 4.18 ชม. อันดับขยับขึ้นมา 881 เพซเฉลี่ยช่วงนี้ 6.37 นาที/กิโลเมตร เหลือประมาณแค่ 2 กิโลกว่าๆก็จะถึงเส้นชัยแล้ว แต่ดูเวลาเทียบกับแรงตัวเองแล้วยังไงก็คงไม่ทัน 4.30 ชม.แน่ๆ (ถ้าเป็นสภาพปกตินี่คงเร่งปรู้ดเข้าเส้นชัยไปเลย) แต่ตอนนี้แรงตกลงไปมาก ความเร็วก็ตกลงค่อนข้างมาก เหลือความเร็วเพซ 7.0 - 7.50 นาที/กิโลเมตร จิตใต้สำนึกบอกให้เดินได้แล้ว พอเริ่มจะเดิน ใจก็รีบสั่งไว้ "ห้ามเดิน!!!" เพราะจากประสบการณ์มาราธอนที่ผ่านมาถ้าเดินแล้วมันจะวิ่งต่อไม่ได้ ตัดสินใจไม่เดินต่อ ถึงตอนนี้สเตปการวิ่งโซน 2 ที่ผมชอบเรียกเล่นๆว่า "สเตปอาม่า" ถูกงัดออกมาใช้ครับ นับว่าที่ฝึกมาไม่เสียเปล่า สามารถที่จะไปช้าๆได้เรื่อยๆโดยที่ร่างกายก็ไม่เหนื่อยมาก (เพซประมาณ 7 - 8 นาที/กิโลเมตร)  วิ่งมาเรื่อยๆจนเลี้ยวเข้าสนาม เหลืออีกแค่ 900 เมตรจะถึงเส้นชัย ถึงตรงนี้ไม่รู้เรี่ยวแรงมาจากไหนอีก อาจจะจากเสียงเชียร์และบรรยากาศทำให้ใจคึกขึ้นมาอีกก็เป็นได้ รีบวิ่งต่อจนเข้าเส้นชัย... จบซะทีกับการวิ่งที่ยาวนานพร้อมกับสถิติใหม่ของตัวเองที่ 4.35.32 ชั่วโมง กับอันดับ 892 จากทั้งหมด 3,581 คน ถ้านับเฉพาะกลุ่มอายุอยู่อันดับ 274 จาก 877 คน


ช่วงกิโลเมตรสุดท้ายกำลังตัดสินใจว่าจะเดินหรือวิ่งต่อดี 
หลังจากโดนแซงไปหลายสิบคน รีบสรุป วิ่งต่อสิครับ รออะไร 555




5.8) ถึงแม้ครั้งนี้จะทำไม่ได้ตามเป้าที่ 4.30 ชม. แต่ก็ถือพอใจมากสามารถวิ่งตามเพซที่ซ้อมมาได้เกือบเส้นทาง แล้วก็ปลื้มใจมากเพราะเมื่อมองย้อนกลับเมื่อปีที่แล้ว ตอนเลี้ยวเข้าสนามนี่เหนื่อยเจ็บปวดทรมานมาก ชนิดที่ว่าต้องกัดฟันกันเลยทีเดียว แต่กับครั้งนี้สบายๆ ตะคริวก็ไม่มีมาใกล้ จะมีก็แค่เหนื่อยล้าบ้าง ไม่บาดเจ็บ ขับรถกลับบ้านได้สบายมาก ถึงบ้านก็ไม่ได้ทะเลาะกับบันได การซ้อมถึงนี่มันดีแบบนี้นี่เอง 





6. หลังวิ่ง...หลังจากเข้าเส้นชัยก็เดินไปรับเหรียญและรับเสื้อ Finisher ที่แสนจะภาคภูมิใจ 555 จากนั้นก็เดิน Cool down มารับอาหาร ปีนี้เขาแยกประเภทนักวิ่งออกไม่ปนกัน น่าจะแก้ปัญหาเรื่องอาหารไม่พอไปได้ จากนั้นก็เดินรับน้ำ เกลือแร่ที่เขามีให้เหลือเฟือเลย ถ้าถือไม่หมด น้ำมันพืชกุ๊กก็แจกกระเป๋ามาให้ใส่ของอีก เอากับเขาสิ 555 หลังจากยืดเหยียดเสร็จ ว่าจะไปลงอ่างแช่น้ำแข็งซักหน่อย แต่คนดูแน่นๆเลยขอลสะสิทธิ์ จริงๆถ้าจะแช่ก็พอมีพื้นที่ให้เข้าได้อยู่ บังเอิญว่าติดธุระต้องรีบเดินทางต่อเลยต้องรีบกลับ จากนั้นก็เดินมาขึ้นรถสองแถวจากบุรีรัมย์แคสเซิลกลับไปเอารถที่สนามช้าง เห็นนักวิ่งต่อแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยน่ารักดี ยืนรอไม่ถึง 5 นาทีรถก็มาถึง ......ถึงเวลากลับซะที บุรีรัมย์มาราธอนที่สุดยอด ประทับใจเป็นที่สุด




7. สรุปบทเรียนฟูลมาราธอนครั้งนี้ การซ้อมสะสมระยะทางมีผลต่อการวิ่งมาก ถ้าเราจะไม่มีโอกาสซ้อมวิ่งยาว ก็ขอให้ได้ซ้อมบ่อยๆสะสมให้ได้ระยะทางเยอะๆ ระยะทางที่ผมคิดว่าปลอดภัยวิ่งจบมาราธอนแบบสบายน่าจะต้องเกือบๆ 300 กิโลเมตรต่อเดือนขึ้นไป บางครั้งต่อให้เราได้ซ้อมวิ่งยาวถึง 30 ก.ม. แต่ถ้าระยะทางสะสมไม่ถึง 200 กิโลเมตร/เดือนก็แทบไม่ช่วยอะไร (โคราชมาราธอนผมได้ซ้อม 30 ก.ม. แต่ระยะทางสะสมก่อนวิ่งแค่ 165 ก.ม./เดือน ผลออกมาเละเทะมาก ใช้เวลาไป 5.15 ชม.ทั้งวิ่งทั้งเดินถึงจะจบ) ถ้ามีโอกาสวิ่งมาราธอนรอบหน้า คงจะเพิ่มการซ้อมวิ่งยาว LSD เพิ่มเข้ามาอีก เพราะรอบนี้ 2 กิโลเมตรสุดท้ายยังไม่สารมารถที่จะทำความเร็วให้ต่อเนื่องได้ รอบหน้าขอแก้ตัวใหม่ครับ

 มาราธอนใครบอกใช้ใจวิ่งอย่าได้เชื่อครับ  ซ้อมให้ได้ ซ้อมให้ถึง จะครั้งละ 5 กิโล 10 กิโลก็ได้ ถ้าสะสมระยะทางมากพอ รับรองจบมาราธอนได้แบบภาคภูมิใจไม่บาดเจ็บแน่นอนครับ

 ปีหน้าพบกันใหม่กับ Buriram Marathon 2019 





ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Bangsaen42 ที่นี่คือบางแสน

วิ่งเอาบุญกับงาน "109 ปี 109 ล้าน เพื่อโรงพยาบาลมหาราช"